7 ศาลเจ้าและวัดแนะนำในจังหวัดอิบารากิ ไปเที่ยวศาลเจ้าและวัดใกล้โตเกียวกัน!

ประวัติศาสตร์

ธรรมชาติ

กิจกรรม

7 ศาลเจ้าและวัดแนะนำในจังหวัดอิบารากิ ไปเที่ยวศาลเจ้าและวัดใกล้โตเกียวกัน!

ญี่ปุ่นมีศาลเจ้าและวัดมากมายนับไม่ถ้วน นอกจากสถานที่เที่ยวดังๆ ยังมีศาลเจ้าและวัดหลายแห่งที่มีเอกลักษณ์และความโดดเด่น เช่น มีประวัติอันยาวนานหรือตำนานที่น่าสนใจ บทความนี้ จะพาไปรู้จัก 7 ศาลเจ้าและวัดชื่อดังอันดับต้นๆ ของอิบารากิใกล้โตเกียวกัน

ศาลเจ้าและวัดในจังหวัดอิบารากิ เดินทางจากโตเกียวไปง่าย!

จังหวัดอิบารากิ (Ibaraki) อยู่ใกล้กับโตเกียว เป็นพื้นที่ซึ่งเจริญรุ่งเรืองมาแต่อดีต “ฮิตาจิโนะคุนิฟุโดกิ” (*) หนึ่งในบันทึกทางภูมิศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่นอธิบายว่าพื้นที่นี้เป็น “ดินแดนแห่งโลกนิรันดร์” (ยูโทเปีย) ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหารทะเลและอาหารป่า

ในสมัยเอโดะ (ค.ศ. 1603 – 1868) ดินแดนแห่งนี้ยังเคยเจริญรุ่งเรือง เป็นดินแดนหนึ่งที่ปกครองโดยตระกูลมิโตะ โทคุกาวะ ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ตระกูลโทคุกาวะที่ปกครองญี่ปุ่น

ด้วยเหตุนี้ จังหวัดอิบารากิจึงมีศาลเจ้าและวัดที่มีเอกลักษณ์มากมาย

บทความนี้จะพาไปรู้จัก 7 ศาลเจ้าและวัดยอดนิยมในจังหวัดอิบารากิ ขอแนะนำให้เดินทางจากโตเกียวไปเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับหรือทริปค้างคืนก็ได้

* ฮิตาจิโนะคุนิฟุโดกิ…บันทึกทางภูมิศาสตร์เกี่ยวกับฮิตาจิโนะคุนิ (ปัจจุบันคือพื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดอิบารากิในขณะนี้) ซึ่งจัดทำเสร็จเมื่อปี 721

อุชิคุไดบุทสึ (Ushiku Daibutsu) ใหญ่ที่สุดในโลก

Photo by IBARAKI GUIDE

อุชิคุไดบุทสึหรือพระใหญ่อุชิคุตั้งอยู่ในเมืองอุชิคุ (Ushiku) สร้างแล้วเสร็จเมื่อปี 1993 รวมใช้เวลานานถึง 10 ปี ได้รับการบันทึกสถิติโลกจากกินเนสส์ว่าเป็น “Tallest Buddha” เป็นพระพุทธรูปปางประทับยืนทองสัมฤทธิ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก

ความสูง 120 เมตร (องค์พระสูง 100 เมตร ฐานสูง 20 เมตร) ซึ่งสูงเป็น 3 เท่าของเทพีเสรีภาพในนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อได้ชมใกล้ๆ จะตะลึงกับความใหญ่โตมหึมานี้

ภายนอกของอุชิคุไดบุทสึเหมือนพระพุทธรูปทั่วไป แต่จริงๆ แล้วด้านในเป็นวัดของนิกายสุขาวดีซึ่งเป็นพุทธศาสนานิกายหนึ่งของญี่ปุ่น

โลกแห่งแสงสว่าง

ภายในบริเวณองค์พระอุชิคุไดบุทสึจะได้ชม “โลกแห่งแสง” อันลึกลับซึ่งสื่อถึงโลกแห่งดินแดนสะอาดบริสุทธิ์

นิ้วหัวแม่เท้าของอุชิคุไดบุทสึ

นอกจากนี้สิ่งที่ไม่ควรพลาดก็คือนิ้วหัวแม่เท้าของอุชิคุไดบุทสึและพระพุทธรูปทองคำราว 3,400 องค์ที่อยู่ภายในองค์พระ นอกจากนี้ยังสามารถสัมผัสประสบการณ์การคัดลอกพระสูตร (*) และติดทองคำเปลวบนฐานของอุชิคุไดบุทสึได้!

นอกจากนี้ เมื่อขึ้นไปยังจุดชมวิวที่ความสูง 85 เมตร จะได้เห็นทิวทัศน์บริเวณโดยรอบเหมือนกับที่อุชิคุไดบุทสึมองด้วย

* การคัดลอกพระสูตร…การบำเพ็ญเพียรโดยการคัดลอกพระสูตร โดยทั่วไปเชื่อกันว่าจะช่วยให้จิตใจสงบ

ข้อมูล

อุชิคุไดบุทสึ

อุชิคุไดบุทสึ

อุชิคุไดบุทสึหรือพระใหญ่อุชิคุได้รับการบันทึกสถิติโลกจากกินเนสส์ว่าเป็น “Tallest Buddha” พระพุทธรูปปางประทับยืนทองสัมฤทธิ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก (สูง 120 เมตร)
ภายในพระพุทธรูปแบ่งเป็น 5 ชั้น แต่ละชั้นเต็มไปด้วยบรรยากาศอันน่าอัศจรรย์ มีความเงียบสงบและความผ่อนคลาย เมื่อขึ้นลิฟต์ไปยังจุดชมวิวบริเวณพระอุระที่ความสูงถึง 85 เมตร จะได้ชมทิวทัศน์ที่กว้างไกลผ่านกระจกทั้ง 4 ด้าน
ใต้พระบาทของพระพุทธรูปจะมีสวนขนาดใหญ่ที่มีดินแดนสุขาวดีเป็นต้นแบบ มีดอกไม้สีสันสดใสเบ่งบานตามฤดูกาล ภายในสวนยังมีสวนสัตว์ขนาดเล็กที่สามารถสัมผัสกับสัตว์ตัวเล็ก รวมถึงการชมโชว์ของลิงได้อีกด้วย

ดูบทความเพิ่ม

ศาลเจ้าโอซุกิ (Osugi shrine) ที่งดงามตระการตา ศาลเจ้านิกโก้โทโชกุแห่งอิบารากิ

ฮนเดนหรือวิหารหลัก ศาลเจ้าโอซุกิ

ศาลเจ้าโอซุกิตั้งอยู่ในเมืองอินาชิกิ (Inashiki) จังหวัดอิบารากิ เป็นศาลเจ้าศูนย์กลางของศาลเจ้าโอซุกิซึ่งมีอยู่ราว 670 แห่งทั่วประเทศญี่ปุ่น “โอซุกิ” ในภาษาญี่ปุ่นหมายถึง “ต้นสนใหญ่” ซึ่งเป็นตัวแทนของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ในศาลเจ้าหลัก

นอกจากมีความศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องการแก้ปีชง ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายต่างๆ ขจัดเคราะห์ร้าย ปกป้องอิทธิพลของดวงดาว (*) และช่วยให้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุทางจราจรแล้ว ยังช่วยตัดโชคชะตาที่ไม่ดี ปัจจุบันยังเป็นศาลเจ้าที่สักการะยูเมะมุซุบิไดเมียวจิน (*) เทพเจ้าองค์เดียวในญี่ปุ่นที่ช่วยดลบันดาลให้ทุกความปรารถนาเป็นจริง ทำให้มีผู้คนมาสักการะที่นี่ปีละมากกว่า 500,000 คน

* ปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายต่างๆ ขจัดเคราะห์ร้าย ปกป้องอิทธิพลของดวงดาว…ช่วยให้รอดพ้นจากสิ่งชั่วร้ายที่มาจากทุกสารทิศ และเคราะห์ร้ายของดวงชะตาในแต่ะละช่วงอายุตามโหราศาสตร์จีน
* ไดเมียวจิน…คำเรียกเทพเจ้าด้วยความยกย่องในภาษาญี่ปุ่น

คิรินมอน (ประตูกิเลน)

สถาปัตยกรรมของศาลเจ้าโอซุกิมีการประดับตกแต่งที่ดูสดใส มีรูปแบบสถาปัตยกรรมคล้ายคลึงจนได้รับการเรียกขานว่า ศาลเจ้านิกโก้โทโชกู (*) แห่งอิบารากิ อันที่จริงคิรินมอนสร้างขึ้นโดยช่างไม้และช่างมุงหลังคาเดียวกันกับที่สร้างศาลเจ้านิกโก้โทโชกู

ที่ผ่านมา “คิรินมอน” ถูกเพลิงไหม้หลายครั้ง แต่ในปี 2010 มีการบูรณะขึ้นใหม่เป็นครั้งแรกในรอบ 280 ปี เป็นอาคารที่วิจิตรงดงามด้วยประติมากรรมหลากหลายรูปแบบอย่างสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เช่น กิเลน มังกร สิงโต และบากู (*) และมีความงดงามตระการตาราวกับวิหารหลัก

* ศาลเจ้านิกโก้โทโชกู (Nikko Toshogu Shrine)…เป็นที่ฝังศพของโทคุกาวะ อิเอยาซุ โชกุนผู้ก่อตั้งเอโดะบาคุฟุ (รัฐบาลเอโดะโชกุน) ซึ่งปกครองญี่ปุ่นในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 ถึงกลางศตวรรษที่ 19 มีชื่อเสียงในด้านความงดงามทางสถาปัตยกรรม
* บาคุ…เป็นสัตว์ในตำนานจีนเช่นเดียวกับกิเลน มีรูปร่างคล้ายหมี หน้าผากมีนอคล้ายแรด จมูกเป็นงวงคล้ายช้าง เท้าเหมือนเสือ หางเหมือนวัว

นาเดโมโมะ

ในบริเวณศาลเจ้ายังมีรูปปั้นหินรูปลูกท้อที่เรียกว่า “นาเดโมโมะ” ซึ่งว่ากันว่าเมื่อลูบแล้วจะช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย

นอกจากนี้ ศาลเจ้าญี่ปุ่นโดยทั่วไปจะมีศาลเจ้าหลายหลังภายในบริเวณเพื่อสักการะบูชาเทพเจ้าต่างๆ ศาลเจ้าโอซุกิก็เช่นกัน นอกจากวิหารหลัก ที่นี่ยังมีศาลเจ้าคัตสึอุมะ (Katsu-uma Shrine) ในภาษาญี่ปุ่นคำว่า “คัตสึอุมะ” ประกอบด้วยอักษรคันจิ 2 ตัวของคำว่า “ชนะ” กับ “ม้า” ดังนั้น ที่นี่จึงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้ชื่นชอบการแข่งม้ามากมายมากราบไหว้กัน

ข้อมูล

ศาลเจ้าโอซึกิ (Osugi Shrine)

ศาลเจ้าโอซึกิ (Osugi Shrine)

อาคารศาลเจ้ามีสีแดงและสีเขียวสดใส ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของศาลเจ้านี้ มีเทพอันบะซามะ (Anba-sama) เทพเจ้าของชาวประมง ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องการป้องกันและปัดเป่าสิ่งเลวร้าย การทำนายโชคชะตาตามปีเกิด นอกจากจะขอพรในเรื่องต่างๆ ได้แล้ว ที่นี่ยังมีการประกอบพิธีเต้นแบบญี่ปุ่นเพื่อปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกชาติทางวัฒนธรรมพื้นบ้านที่จับต้องไม่ได้ของญี่ปุ่น
ศาลเจ้าแห่งนี้มีผู้คนมากมายจากหลายพื้นที่ มานมัสการขอพรเรื่องความปลอดภัย (พ้นจากภัยพิบัติ) และทำให้ความปรารถนาของตนเป็นจริง ภายในบริเวณยังมีศาลเจ้าสำหรับขอพรเรื่องอื่นๆ เช่น ศาลเจ้าไดโคคุ (Daikoku Shrine) สำหรับขอพรเรื่องโชคลาภ เงินทอง, ศาลเจ้าคัตสึอุมะ (Katsu-uma Shrine) สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการแข่งม้าและผู้ที่ชื่นชอบการแข่งม้า (นักพนัน) รวมถึงศาลเจ้าอาอิโออิ (Aioi Shrine) มีความศักดิ์สิทธิ์ในการขอลูกสำหรับผู้มีบุตรยาก และมีผู้มาขอพรเพื่อคุ้มครองเด็กๆ เป็นจำนวนมาก

ดูบทความเพิ่ม

ศาลเจ้าคาซามะอินาริ (Kasama Inari Shrine) 1 ใน 3 ศาลเจ้าอินาริที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น

Picture courtesy of Kasama Inari Shrine

ศาลเจ้าคาซามะอินาริในเมืองคาซามะ (Kasama) สร้างขึ้นเมื่อ 1,370 ปีก่อน

“อินาริโอคามิ” เทพผู้ดูแลแหล่งอาหารและต้นกำเนิดของชีวิต เป็นหนึ่งในเทพเจ้าที่ชาวญี่ปุ่นคุ้นเคยมากที่สุด ศาลเจ้าคาซามะอินาริเป็น 1 ใน 3 ศาลเจ้าอินาริที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น มีผู้มาเยี่ยมชมสักการะปีละมากกว่า 3.5 ล้านคน

เมื่อเดินไปตามทางเดินของศาลเจ้า จะพบรูปปั้นหินของจิ้งจอกมากมายเต็มสองข้างทาง ซึ่งได้รับการสักการะบูชาในฐานะผู้รับใช้เทพเจ้า

ศาลเจ้าคาซามะอินาริเป็นจุดชมดอกเบญจมาศซึ่งเป็นที่รู้จักจากเทศกาลชมดอกเบญจมาศ (Kiku Matsuri) ซึ่งจัดขึ้นในฤดูใบไม้ร่วง ภายในบริเวณศาลเจ้าแห่งนี้มีดอกเบญจมาศประดับตกแต่งอยู่มากมายอย่างฮานะโจซุซึ่งมีดอกเบญจมาศลอยอยู่ในโจซุยะ (สถานที่สำหรับล้างมือและชำระจิตใจ)

ใกล้กับศาลเจ้าคาซามะอินาริ ยังมีอีกหนึ่งจุดหมายของผู้มาสักการะศาลเจ้าสามารถรับประทานอินาริซูชิ (*) อาหารขึ้นชื่อของคาซามะ (Kasama) เมนูโซบะใส่เต้าหู้ทอดที่มีรูปสุนัขจิ้งจอกน่ารักก็ได้รับความนิยมมากเช่นกัน

* อินาริซูชิ…โดยทั่วไปเป็นแผ่นเต้าหู้ทอดต้มกับโชยุปรุงรสยัดไส้ด้วยข้าว แต่อินาริซูชิของคาซามะแตกต่างจากอินาริซูชิทั่วไป คือจะใส่เส้นโซบะในแผ่นเต้าหู้ทอดแทน

ข้อมูล

ศาลเจ้าคาซามะอินาริ (Kasama Inari shrine)

ศาลเจ้าคาซามะอินาริ (Kasama Inari shrine)

ศาลเจ้าคาซามะอินารินับเป็น 1 ใน 3 ศาลเจ้าอินาริที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ตั้งอยู่ที่เมืองคาซามะ เทพเจ้าประจำศาลเจ้าคือ เทพอุคาโนะมิทามะ ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งการเพิ่มและดูแลผลผลิต และช่วยปกป้องไม่ให้เกิดเพลิงไหม้ สร้างขึ้นในปี 651 มีประวัติยาวนานกว่า 1,350 ปี มีนักท่องเที่ยวมาสักการะปีละ 3.5 ล้านคน

ดูบทความเพิ่ม

ศาลเจ้าซาคัตสึระ อิโซซาคิ (Sakatsura Isosaki Shrine) ทิวทัศน์ดงามของเสาโทริอิและทางเดินของศาลเจ้าที่มีต้นทาบุโนกิขึ้นหนาทึบ!

ไฮเด็นหรือวิหารสักการะ ศาลเจ้าซาคัตสึระ อิโซซาคิ

ศาลเจ้าซาคัตสึระ อิโซซาคิสร้างขึ้นในสมัยเฮอัน (ปี 794 ถึงปลายศตวรรษที่ 12) เป็นศาลเจ้าที่สักการะบูชาเทพเจ้าซุคุนาฮิโกนะโนะมิโคโตะที่ปรากฏในตำนานญี่ปุ่น

ว่ากันว่า เทพเจ้าซุคุนาฮิโกนะโนะมิโคโตะได้ร่วมกับเทพเจ้าโอคุนินุชิโนะมิโคโตะสร้างประเทศญี่ปุ่น ศาลเจ้าโออาไร อิโซซาคิ (Oarai Isosaki Shrine) ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองโออาไร (Oarai) ที่อยู่ใกล้เคียง มีชื่อเสียงในเรื่องเสาโทริอิกลางทะเลและเป็นศาลเจ้าที่สักการะเทพเจ้าโอคุนินุชิโนะมิโคโตะ ถือเป็นศาลเจ้าพี่น้องกับศาลเจ้าซาคัตสึระ อิโซซาคิแห่งนี้


ทางเดินของศาลเจ้าที่มีต้นทาบุโนกิขึ้นหนาทึบ

เมื่อลอดผ่านเสาโทริอิไปก็จะเจอทางเดินของศาลเจ้าซึ่งสองข้างทางมีต้นทาบุโนกิเก่าแก่อายุมากกว่า 300 ปีขึ้นหนาเป็นอุโมงค์ ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอนุสรณ์ทางธรรมชาติของจังหวัดอิบารากิ

เสาโทริอิที่มองเห็นทะเล

จากเสาโทริอิกลางอุโมงค์จะมองเห็นทะเล ทิวทัศน์อันงดงามนี้ทำให้ศาลเจ้าซาคัตสึระ อิโซซาคิดูมีมนต์ขลังมากขึ้น

ข้อมูล

ศาลเจ้าซาคัตสึระ อิโซซาคิ (Sakatsura Isosaki Shrine)

ศาลเจ้าซาคัตสึระ อิโซซาคิ (Sakatsura Isosaki Shrine)

ศาลเจ้าซาคัตสึระ อิโซซาคิสร้างเมื่อปี 856 เป็นที่รู้จักในฐานะศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ที่อธิษฐานขอพรให้หายป่วยและอายุยืนยาว ปัจจุบันยังเป็นที่รู้จักในฐานะศาลเจ้าชื่อดังที่ให้โชคลาภ ซึ่งมีผู้สักการะมากมายที่ถูกรางวัลลอตเตอรี ที่นี่เป็นศาลเจ้าพี่น้องที่สร้างขึ้นพร้อมกับศาลเจ้าโออาไร อิโซซากิ (Oarai Isosaki Shrine) ในเมืองโออาไรที่อยู่ใกล้เคียง (โด่งดังจากทิวทัศน์อันงดงามของเสาโทริอิบนโขดหินที่ยื่นออกไปในทะเล) ศาลเจ้าโออาไร อิโซซากิสักการะเทพเจ้าโอคุนินุชิโนะมิโคโตะ เทพเจ้าผู้สร้างประเทศญี่ปุ่น ในขณะที่ศาลเจ้าซาคัตสึระ อิโซซาคิสักการะเทพเจ้าซุคุนาบิโกนะโนะมิโคโตะซึ่งว่ากันว่าได้ร่วมกับเทพเจ้าโอคุนินุชิโนะมิโคโตะในการสร้างประเทศญี่ปุ่น
เสน่ห์อีกอย่างของศาลเจ้าแห่งนี้คืออุโมงค์ต้นไม้ที่งดงามซึ่งมีต้นสึบากิ (ต้นคามิเลีย) และต้นทาบุโนกิอายุกว่า 300 ปีที่ขึ้นหนาทึบเต็มสองข้างทางของทางเข้าศาลเจ้า ซึ่งได้รับการกำหนดให้เป็นอนุสรณ์สถานทางธรรมชาติของจังหวัดอิบารากิ ที่ปลายอุโมงค์ต้นไม้เหล่านี้เป็นจุดถ่ายรูปสวยในบรรยากาศที่เหมือนหลุดเข้าไปสู่อีกโลกหนึ่ง ติดกับทางเดินเข้าศาลเจ้ามีเสาโทริอิที่มองเห็นวิวทะเล ในเดือนมิถุนายนยังสามารถเพลิดเพลินกับดอกอาจิไซ (ดอกไฮเดรนเยีย) ด้วย

ดูบทความเพิ่ม

ศาลเจ้าโฮริเดะซึ่งมีเกร็ดเรื่องเล่าที่ไม่เหมือนใคร และศาลเจ้าโฮชิอิโมะซึ่งขึ้นชื่อเรื่องเสาโทริอิสีทอง

ศาลเจ้าโฮริเดะ

ศาลเจ้าโฮริเดะ (Horide Shrine) สร้างขึ้นในปี 1663 “โฮริเดะ” ในภาษาญี่ปุ่น หมายถึง “ขุด” ในเวลานั้น โทคุกาวะ มิทสึคุนิ ไดเมียวที่ปกครองพื้นที่นี้ ได้ขุดพบกระจกที่กลายเป็นวัตถุมงคลขึ้นมา จึงตั้งชื่อศาลเจ้าแห่งนี้ว่าโฮริเดะ และสักการะเทพฮาจิมันซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งการเรียนรู้และปกป้องสิ่งชั่วร้ายมากันตั้งแต่สมัยโบราณ

เสาโทริอิสีทองของศาลเจ้าโฮชิอิโมะ

และในปี 2019 ได้มีการสร้างศาลเจ้าโฮชิอิโมะ (Hoshi-imo Shrine) ศาลเจ้าชินกูหรือศาลเจ้าใหม่ขึ้นที่ศาลเจ้าโฮริเดะแห่งนี้

จังหวัดอิบารากิเป็นพื้นที่ผลิตโฮชิอิโมะ (มันหวานตากแห้ง) ที่ขึ้นชื่อ โดยมีปริมาณการผลิตโฮชิอิโมะเป็นอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น ในภาษาญี่ปุ่น “โฮชิอิโมะ” มีเสียงคล้ายกับ “โฮชิโมโนะ (สิ่งที่ปรารถนา)” ดังนั้น ศาลเจ้าโฮชิอิโมะจึงได้รับการกล่าวขานว่า เป็นศาลเจ้าที่ดลบันดาลให้ “ได้ทุกสิ่งที่ต้องการ”

บนตราประจำศาลเจ้ามีรูปดาววาดอยู่ ส่วนลายถลอกๆ บนรูปดาวสื่อถึงมันหวานตากแห้ง (โฮชิอิโมะ) เสาโทริอิเป็นสีทองสดใส การออกแบบทั้งหมดนี้สร้างสรรค์โดยคุณซาโต้ ทาคุ นักออกแบบกราฟิกชื่อดัง

ข้อมูล

ศาลเจ้าโฮชิอิโมะ (Hoshiimo Shrine) / ศาลเจ้าโฮริเดะ (Horide Shrine)

ศาลเจ้าโฮชิอิโมะ (Hoshiimo Shrine) / ศาลเจ้าโฮริเดะ (Horide Shrine)

ศาลเจ้าโฮริเดะและศาลเจ้าโฮชิอิโมะตั้งอยู่บนเนินที่มองเห็นทิวทัศน์อันงดงามของชายฝั่งอาจิกาอุระ (Ajigaura Beach) "โฮริเดะ" มาจากคำว่า "โฮริดะซุ" ที่แปลว่า "ขุด" ว่ากันว่า สร้างขึ้นในปี 1663 เมื่อคนในท้องถิ่นขุดพบชุดเกราะ หอก ดาบ และอื่นๆ ในรอบๆ บริเวณแห่งนี้ จึงสร้างศาลเจ้าเล็กๆ เพื่อสักการะสิ่งเหล่านั้น ไม่กี่ปีต่อมา โทคุกาวะ มิตสึคุนิ บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นผู้ปกครองแคว้นมิโตะ (ปัจจุบันคือพื้นที่ตอนกลางและตอนเหนือของอิบารากิ) ในสมัยนั้น ได้มอบกระจกโบราณเพื่อเป็นวัตถุมงคลให้แก่ศาลเจ้า ที่นี่จึงกลายเป็นโกะชินไต (ที่สถิตของเทพ) และจากการขุดพบกระจกและโบราณวัตถุต่างๆ ในตอนแรก จึงมีการเรียกขานศาลเจ้านี้ว่า "โฮริเดะ" ศาลเจ้าแห่งนี้สักการะเทพฮาจิมัน ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งการเรียนรู้และปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย
ต่อมาในปี 2019 ได้มีการสร้างศาลเจ้าโฮชิอิโมะ ศาลเจ้าหลังใหม่ในบริเวณศาลเจ้าโฮริเดะ ชื่อ "โฮชิอิโมะ" นี้มีที่มาจากการที่จังหวัดอิบารากิเป็นแหล่งผลิตโฮชิอิโมะ (มันเทศตากแห้ง) รายใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และเมืองฮิตาจินากะ (Hitachinaka) ซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าแห่งนี้ ก็เป็นพื้นที่ซึ่งมีปริมาณการผลิตโฮชิอิโมะสูงสุด ในภาษาญี่ปุ่น "โฮชิอิโมะ" ยังมีการออกเสียงคล้ายกับ "โฮชิโมโนะ (สิ่งที่ปรารถนา)" ดังนั้น จึงกล่าวกันว่า ศาลเจ้าโฮชิอิโมะเป็นศาลเจ้าที่ดลบันดาลให้ "ได้ทุกสิ่งที่ปรารถนา"
จุดเด่นอีกอย่างของศาลเจ้าโฮชิโมะก็คือเสาโทริอิสีทองอันงดงามที่เรียงรายขนานกัน 2 แถว ซึ่งเป็นอีกจุดถ่ายรูปสวยสุดฮิตด้วย เสาโทริอินี้ได้รับการออกแบบโดยซาโตะ ทาคาชิ ดีไซเนอร์ชื่อดัง ผู้ออกแบบผลิตภัณฑ์ให้กับแบรนด์ญี่ปุ่นชื่อดัง ที่นี่ยังมีจุดที่น่าสนใจอีกมากมาย เช่น มอเตอร์ไซด์สีทอง และต้นไม้คู่ชาย-หญิงที่เรียกกันว่า ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์หยินหยาง และตู้จำหน่ายโฮชิอิโมะแบบอัตโนมัติ รวมทั้งยังสามารถดื่ม SAZA COFFEE กาแฟแบรนด์ดังของท้องถิ่นได้ที่คาเฟ่เล็กๆ ในบริเวณศาลเจ้าแห่งนี้ด้วย

ดูบทความเพิ่ม

ศาลเจ้าโออิวะ (Oiwa Shrine) ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่เก่าแก่ที่สุดในฮิตาจิ เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังลึกลับ

เขาโออิวะ (Mt. Oiwa) ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่เหล่าทวยเทพอาศัยอยู่ตั้งแต่สมัยโบราณ ที่นี่มีศาลเจ้าโออิวะซึ่งมีประวัติยาวนานกว่า 1,300 ปี และใน “ฮิตาจิโนะคุนิฟุโดกิ” ก็มีเนื้อหาที่กล่าวถึงศาลเจ้าแห่งนี้เช่นกัน เจ้าผู้ครองแคว้นมิโตะซึ่งปกครองพื้นที่นี้ในสมัยเอโดะได้มาสักการะศาลเจ้าโออิวะนี้ด้วย

นับตั้งแต่พุทธศาสนาเข้ามาสู่ญี่ปุ่นในสมัยนารา (ค.ศ. 710 – 794) ระบบความเชื่อที่เรียกว่า “ชินบุตสึ-ชูโก”’ ซึ่งเป็นการผสานความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้าและพระพุทธเข้าด้วยกันจึงถือเป็นเรื่องปกติ ทว่าในสมัยเมจิ (ค.ศ. 1868 – 1912) รัฐบาลญี่ปุ่นเริ่มแยกนิกายชินโตกับพุทธศาสนาออกจากกัน รวมทั้งแยกพื้นที่ศาลเจ้ากับวัดออกจากกันด้วย แต่ซากโบราณสถานและพระพุทธรูปที่เหลืออยู่ภายในบริเวณศาลเจ้าโออิวะในปัจจุบันก็ทำให้สามารถสัมผัสได้ถึงประวัติศาสตร์ที่นิกายชินโตกับพุทธศาสนาได้ผสานเข้าด้วยกัน

ต้นสนศักดิ์สิทธิ์ 3 ต้น เป็นต้นไม้ยักษ์ที่ด้านบนมีลำต้นแยกออกเป็น 3 ต้น

เมื่อเดินไปตามทางเดินของศาลเจ้าที่ร่มรื่นเขียวขจี จะตื่นตะลึงกับโรมง (ประตูใหญ่ที่สร้างเหมือนอาคาร 2 ชั้น) และต้นสนศักดิ์สิทธิ์ 3 ต้นที่อยู่ติดกัน ต้นสนสูง 50 เมตร คาดว่าอายุราว 600 ปี

นอกจากนี้บนเพดานของศาลเจ้าไซ (Sai Shrine) ซึ่งเป็นศาลเจ้าภายในบริเวณนี้ยังมีภาพวาดของเทพเจ้ามังกรที่ทรงพลัง จากทางเดินในศาลเจ้าทั้งสองเส้นที่อยู่ใกล้วิหารสักการะนั้นสามารถเดินขึ้นไปบนยอดเขาโออิวะได้

ข้อมูล

ศาลเจ้าโออิวะ (Oiwa shrine)

ศาลเจ้าโออิวะ (Oiwa shrine)

แม้ไม่สามารถระบุปีที่สร้างศาลเจ้าโออิวะได้แน่นอน แต่มีการค้นพบจากซากปรักหักพังในพิธีกรรมทางศาสนาที่อยู่ในช่วงท้ายของยุคโจมง (ประมาณ 4,500 - 3,300 ปีก่อน)
ใน “Hitachi Kokudo-ki” หนึ่งในวรรณกรรมที่เก่าที่สุดของญี่ปุ่น (721 ปี) ยังมีเนื้อหาที่กล่าวถึงศาลเจ้าแห่งนี้ด้วย จะเห็นได้ว่า เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิที่สักการะเทพเจ้าบนภูเขาโออิวะมาแต่โบราณ
ภายในศาลเจ้าโออิวะ มีซากปรักหังพังที่บอกเล่าถึงประวัติศาสตร์ และมีต้นสนศักดิ์สิทธิ์ 3 ต้นซึ่งเป็นสถานที่สถิตของเทพเจ้า รวมทั้งธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ เช่น ดอกไม้ต่างๆ ตามฤดูกาล

ดูบทความเพิ่ม

ศาลเจ้าฮานาโซโนะ (Hanazono Shrine) ที่แต่งแต้มด้วยธรรมชาติอันยิ่งใหญ่งดงามตระการตา

เสาโทริอิ

ศาลเจ้าฮานาโซโนะตั้งอยู่ใกล้หุบเขาฮานาโซโนะ (Hanazono Gorge) ซึ่งเป็นจุดชมวิวสวยของเมืองคิตะอิบารากิ (Kitaibaraki) ทางเดินของศาลเจ้าแคบๆ และคดเคี้ยวรายล้อมไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม

ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นโดยซากาโนะอุเอะ โนะ ทามุระมาโระ (ค.ศ. 758 – 811, *) ผู้นำทัพสูงสุด (เซอิไตโชกุน) ศาลเจ้านี้สักการะบูชาเทพโอยามาคุอิ โนะ โอคามิ (ซังโนไดกนเก็น *)

* ซากาโนะอุเอะ โนะ ทามุระมาโระ…ผู้บัญชาการทหารที่ปราบปรามกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในภูมิภาคโทโฮคุตามคำสั่งของจักรพรรดิในราชวงศ์ยามาโตะซึ่งปกครองญี่ปุ่นในขณะนั้น
* ซังโนไดกนเก็น…เทพผู้พิทักษ์ใน “ชินบุตสึ-ชูโก”’ ระบบความเชื่อที่ผสานกันของนิกายชินโตกับพุทธศาสนา

ชาเด็นหรืออาคารศาลเจ้า ศาลเจ้าฮานาโซโนะ Picture Courtesy of Hanazono Shrine

จากภายในบริเวณศาลเจ้าจะสัมผัสได้ถึงร่องรอยการผสานกันของนิกายชินโตกับพุทธศาสนา อาคารสีแดงสดกลมกลืนกับต้นไม้สีเขียวขจีโดยรอบ มีบรรยากาศเงียบสงบดูเคร่งขรึม

ต้นสนศักดิ์สิทธิ์ 3 ต้น Picture Courtesy of Hanazono Shrine

ภายในศาลเจ้าล้อมรอบด้วยต้นสนใหญ่อย่างต้นสนศักดิ์สิทธิ์ 3 ต้นอายุกว่า 700 ปี ที่ทำให้บรรยากาศดูขลัง

ต้นสนเก่าแก่บางต้นมีส่วนโค้งนูนรูปทรงกลมขนาดใหญ่ซึ่งมีลักษณะเหมือนคุณแม่ท้องแก่ใกล้คลอด ทำให้ที่นี่ได้รับการขนานนามว่าเป็นต้นสนที่ดลบันดาลให้คลอดบุตรปลอดภัยและได้ลูกอันแสนประเสริฐ จึงมีผู้คนมากมายจากทั่วญี่ปุ่นมาสักการะกัน

ไปเยี่ยมชมและรับพลังที่ศาลเจ้าและวัดวาอารามในอิบารากิกัน!

ศาลเจ้าและวัดเป็นศูนย์กลางความศรัทธาของชาวญี่ปุ่น การไปสักการะที่ศาลเจ้าและวัดวาอารามไม่เพียงแต่จะได้สัมผัสประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอันยาวนานของญี่ปุ่น แต่ยังได้รับพลังมากมาย

เมื่อแวะไปจังหวัดอิบารากิ อย่าลืมไปเยี่ยมชมศาลเจ้าและวัดที่มีประวัติอันยาวนานกันนะ!