7 สถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ในอิบารากิที่วัฒนธรรมซามูไรยังคงแข็งแกร่ง

ประวัติศาสตร์

7 สถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ในอิบารากิที่วัฒนธรรมซามูไรยังคงแข็งแกร่ง

จังหวัดอิบารากิมีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์มากมายอย่างสถานที่เที่ยวชื่อดังซึ่งเกี่ยวข้องกับตระกูลโทคุกาวะที่กุมอำนาจสูงสุดในญี่ปุ่นช่วงสมัยเอโดะ บทความนี้ขอแนะนำสถานที่เที่ยวชื่อดังต่างๆ ที่สามารถสัมผัสได้ถึงเรื่องราวในสมัยเอโดะ เช่น ซากปราสาทมิโตะ โคโดคัง และสวนไคราคุเอน

ตระเวนเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ในจังหวัดอิบารากิ (Ibaraki)

รากฐานของวัฒนธรรมญี่ปุ่นในปัจจุบันส่วนใหญ่สร้างขึ้นในสมัยเอโดะ (ค.ศ. 1603 – 1868) ในสมัยที่โทคุกาวะบาคุฟุกุมอำนาจสูงสุด โชกุนโทคุกาวะ อิเอยาซุ (ค.ศ. 1543 – 1616) ผู้ทำให้สงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อมายาวนานสิ้นสุดลงและก่อตั้งเอโดะบาคุฟุ ได้ขึ้นเป็นผู้บริหารสูงสุดของไดเมียวในญี่ปุ่น ด้วยเหตุนี้ ประเทศญี่ปุ่นจึงสงบสุข ทำให้เศรษฐกิจและวัฒนธรรมเจริญรุ่งเรืองสืบต่อมายาวนานกว่า 250 ปี

โทคุกาวะ อิเอยาซุและเอโดะบาคุฟุมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ท่านที่อยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับสมัยเอโดะและประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นเพิ่มเติม ขอแนะนำให้ไปเยือนสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ในจังหวัดอิบารากิ เมืองมิโตะ (Mito) เมืองศูนย์กลางของจังหวัดอิบาริกิเดิมเป็นเมืองหลวงของแคว้นมิโตะที่ปกครองโดยตระกูลโทคุกาวะ มีซากปราสาทและอาคารโรงเรียนเก่าของขุนนางมากมาย

บทความนี้ขอแนะนำ 7 สถานที่เที่ยวขึ้นชื่อที่สามารถเรียนรู้เรื่องราวสมัยเอโดะที่วัฒนธรรมซามูไรเฟื่องฟู

1. พิพิธภัณฑ์โทคุกาวะ (The Tokugawa Museum)

ที่พิพิธภัณฑ์โทคุกาวะ นอกจากทรัพย์สินส่วนตัวของโทคุกาวะ อิเอยาซุแล้ว ยังมีการจัดแสดงทรัพย์สินของตระกูลโทคุกาวะที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นราว 30,000 ชิ้น สิ่งของที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์รวมถึงเสื้อผ้า อุปกรณ์ชงชา เอกสารโบราณ และงานศิลปหัตถกรรมทั้งหมด จะบ่งบอกเล่าเรื่องราวของครอบครัวโชกุนและตระกูลมิโตะ

ที่นี่เป็นสถานที่ซึ่งท่านที่อยากรู้เรื่องราวของตระกูลโทคุกาวะซึ่งกุมอำนาจสูงสุดในญี่ปุ่นช่วงสมัยเอโดะอย่างยาวนานเพิ่มเติมไม่ควรพลาด

ข้อมูล

พิพิธภัณฑ์โทคุกาวะ (The Tokugawa Museum)

พิพิธภัณฑ์โทคุกาวะ (The Tokugawa Museum)

สร้างขึ้นในปี 1977 โดยมูลนิธิซุยฟุ-เมโทคุไค (Suifu–Meitokukai Foundation) จัดแสดงทรัพย์สินส่วนตัวและงานเขียนโบราณต่างๆ ของไดเมียว ซึ่งคุนิยุคิ โทคุกาวะ ไดเมียว (ผู้ปกครองแคว้น) ลำดับที่ 13 ของแคว้นมิ…

ดูบทความเพิ่ม

2. ซากปราสาทมิโตะ (Mito Castle Ruins)

ปราสาทมิโตะเป็นปราสาทซึ่งก่อสร้างบนฐานรากของอาคารที่สร้างขึ้นในช่วงปลายยุคเฮอัน (ค.ศ. 794 – 1185) จนถึงต้นยุคคามาคุระ (ค.ศ. 1185 – 1333) เป็นปราสาทที่พักอาศัยของครอบครัวโทคุกาวะ มิโตะ มาตั้งแต่ช่วงที่แคว้นมิโตะก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1609

 

ป้อมสังเกตการณ์ถูกเพลิงไหม้ในปี 1945 เนื่องจากความเสียหายจากสงคราม ในปัจจุบัน เราจะได้เห็นคันกำแพงดินและคูน้ำที่ยังคงรูปลักษณ์ดั้งเดิมไว้ นอกจากโคโดคังซึ่งเป็นโรงเรียนไดเมียวของแคว้นที่สร้างอยู่ในซันโนะมารุ (รั้วปราสาทรอบนอกที่ห้อมล้อมนิโนะมารุไว้) และประตูยาคุอิมงของฮงมารุ (ป้อมศูนย์กลางปราสาท) ยังมีประตูโอเทมง และป้อมซึมิยาคุระ (ป้อมสังเกตการณ์ตรงมุมปราสาท) ของนิโนะมารุ (ปราสาทที่อยู่รอบนอกฮงมารุ) ซึ่งได้รับการบูรณะโดยใช้เอกสารทางประวัติศาสตร์อ้างอิง

ข้อมูล

ซากปราสาทมิโตะ (Mito Castle Ruins)

ซากปราสาทมิโตะ (Mito Castle Ruins)

ปราสาทมิโตะคือหนึ่งในปราสาทดินที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น สร้างขึ้นระหว่างปลายศตวรรษที่ 12 ถึงต้นศตวรรษที่ 13 หลังจากเปลี่ยนผู้ปกครองดินแดนนี้หลายครั้ง ในปี 1609 เมื่อโยริฟุซะ โทคุกาวะถูกส่งตัวมาอยู่ที่ม…

ดูบทความเพิ่ม

3. โคโดคัง (Kodokan Mito Han School)

อย่าลืมแวะโคโดคังซึ่งอยู่ในบริเวณซันโนะมารุของซากปราสาทมิโตะ โคโดคังเป็นสถาบันการศึกษาที่สร้างเมื่อปี 1841 โดยโทคุกาวะ นาริอาคิ (ค.ศ. 1800 – 1860) ผู้ปกครองของแคว้นมิโตะในขณะนั้น และเป็นโรงเรียนไดเมียวที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ในช่วงที่ญี่ปุ่นปิดประเทศอยู่ เรือต่างชาติได้มาเทียบท่าและเรียกร้องให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศ แต่โทคุกาวะ นาริอาคิกลับคิดว่า สิ่งสำคัญในการปกป้องญี่ปุ่นให้เป็นอิสระจากการรุกรานของต่างชาติรวมถึงการพัฒนาประเทศนั้น ก็คือการสร้างบุคคลผู้มีความสามารถยอดเยี่ยม ด้วยเหตุนี้จึงสร้างโคโดกังขึ้น

ที่นี่เป็นเหมือนมหาวิทยาลัยทั่วไปที่สามารถร่ำเรียนวิชาต่างๆ เช่น ประวัติศาสตร์ แพทยศาสตร์ ดาราศาสตร์ วิชาการทหาร และศิลปะการต่อสู้ ปัจจุบันบางส่วนของโคโดคังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกชาติทางวัฒนธรรมที่สำคัญของญี่ปุ่น หากมาเยือนที่นี่ จะได้เรียนรู้เรื่องราวการศึกษาของซามูไรวัยเยาว์ในสมัยเอโดะ

ข้อมูล

โคโดคัง (Kodokan Mito Han School)

โคโดคัง (Kodokan Mito Han School)

โคโดคังเป็นโรงเรียนสำหรับไดเมียว (ขุนนาง) ที่สร้างขึ้นเมื่อปี 1841 (ปีเทนโปที่ 12) โดยโทคุกาวะ นาริอาคิ เจ้าครองแคว้นลำดับที่ 9 ในนามตระกูลมิโตะ โรงเรียนแห่งนี้มีพื้นที่ขนาด 17.8 เฮกเตอร์ ซึ่งเป็นบ…

ดูบทความเพิ่ม

4. สวนไคราคุเอน (Kairakuen Garden)

“สวนไคราคุเอน” สถานที่ชมทิวทัศน์สวยงามในเมืองมิโตะ สร้างขึ้นโดยโทคุกาวะ นาริอาคิ ผู้ปกครองของแคว้นมิโตะเช่นกัน เป็นสถานที่พักผ่อนสำหรับนักเรียนของโคโดคังที่ร่ำเรียนอย่างหนัก

ชื่อของอาคารโคบุนเท (Kobuntei) ในสวนนี้มาจากชื่อสายพันธุ์ต้นบ๊วยที่เรียกว่า “โคบุนเท” ซึ่งหมายถึง รักการเรียนรู้ ต้นบ๊วยไม่ได้มีแค่ดอกไม้ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบกันมานานทั้งในญี่ปุ่นและจีนเท่านั้น แต่ยังมีผลไม้ซึ่งสามารถใช้เป็นอาหารยามฉุกเฉินได้ด้วย ดังนั้น โทคุกาวะ นาริอาคิจึงส่งเสริมให้มีการปลูกต้นบ๊วย

ปัจจุบัน สวนไคราคุเอนเป็นจุดชมดอกบ๊วยชื่อดัง และเป็น 1 ใน 3 สวนสวยที่สุดในญี่ปุ่น ส่วนอีก 2 แห่ง ได้แก่ สวนเคนโรคุเอน (Kenrokuen Garden) ในจังหวัดคานาซาวะ (Kanazawa) และสวนโคราคุเอน (Korakuen Garden) ในจังหวัดโอคายามะ (Okayama) เทศกาลดอกบ๊วยมิโตะจัดขึ้นตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ถึงกลางเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ดอกบ๊วยบานเต็มที่

ภายในอาคารโคบุนเท (Kobuntei)ยังมีจุดที่น่าเที่ยวชมมากมาย เช่น ห้องที่ใช้ต้อนรับและจัดงานเลี้ยงเมื่อโทคุกาวะ นาริอาคิเสด็จมาเยือน และบริเวณชั้น 3 ที่สามารถชมทิวทัศน์ของเมืองได้

ข้อมูล

สวนไคราคุเอน

สวนไคราคุเอน

สวนไคราคุเอนเป็น "1 ใน 3 สวนที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น" ซึ่งอีก 2 แห่งคือสวนเคนโระคุเอนที่จังหวัดคานาซาวะ และสวนโคราคุเอนที่จังหวัดโอคายามะ สวนแห่งนี้เปิดให้ประชาชนมาพักผ่อนหย่อนใจเมื่อปี 1842 โดยนาริอาคิ…

ดูบทความเพิ่ม

5. มิโตะ โทบุคัง (Mito Tobukan)

คำว่า “บุนบุฟุคิ” เป็นวลีที่แสดงถึงนโยบายทางการศึกษาของโคโดคัง มีความหมายว่า วิชาความรู้และศิลปะการต่อสู้ล้วนมีความสำคัญเท่าเทียมกัน “มิโตะ โทบุคัง” สร้างขึ้นเมื่อปี 1876 เป็นโดโจหรือสถานที่เพื่อรับและถ่ายทอดศิลปะป้องกันตัวของโคโดคัง

ปัจจุบันสถานที่นี้ยังคงสอนศิลปะการป้องกันตัวดั้งเดิมของญี่ปุ่น เช่น เคนโด (ศิลปะการต่อสู้ด้วยดาบไม้) นากินาตะโด (ศิลปะการต่อสู้ด้วยง้าวญี่ปุ่น) และอิไอโด (ศิลปะการฟันดาบในชั่วพริบตา) ชิบะ ชูซาคุ ปรมาจารย์นักดาบผู้ก่อตั้งสำนักดาบ รวมถึงโดโจที่รับและถ่ายทอดศิลปะการฟันดาบสายโฮคุชินอิตโตริว ได้มาเป็นปรมาจารย์สอนศิลปะการต่อสู้ของโคโดคัง ตามคำเชิญของโทคุกาวะ นาริอาคิ

นอกจากการเยี่ยมชมโทบุคังแล้ว ยังสามารถร่วมกิจกรรมเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ได้ด้วย ท่านที่สนใจศิลปะการต่อสู้ต่างๆ อย่างเคนโด นางินาตะโด อิไอโด และอื่นๆ สามารถติดต่อที่สมาคมการท่องเที่ยวมิโตะ (Mito Tourist Information Center) ได้เลย

6. "อาคารหลักของโรงเรียนประถมมิสึไคโดเก่า" ที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ประจำจังหวัดอิบารากิ (Ibaraki Prefectural Archives and Museum)

เมื่อยุคสมัยเอโดะสิ้นสุดลงจากการปฏิรูปสมัยเมจิ (ครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19) ญี่ปุ่นได้เข้าสู่ยุคสมัยใหม่ผ่านการแลกเปลี่ยนที่มีชีวิตชีวากับต่างชาติ เพื่อก้าวสู่ยุคสมัยใหม่ ญี่ปุ่นจำเป็นต้องมีสถาบันการศึกษาสมัยใหม่ด้วย ดังนั้น จึงมีการสร้างโรงเรียนไม้สองชั้นโดยใช้องค์ประกอบของสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในแต่ละท้องถิ่นทั่วญี่ปุ่น

หนึ่งในนั้นอยู่ที่มิสึไคโด (ปัจจุบันคือเมืองโจโซ) ซึ่งมีความเจริญรุ่งเรืองในการขนส่งทางเรือ ปัจจุบัน “อาคารหลักของโรงเรียนประถมศึกษามิสึไคโดเก่า” ได้ย้ายมาที่เมืองมิโตะ ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับ “พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ประจำจังหวัดอิบารากิ”

ภายในอาคารจัดแสดงสิ่งของที่สื่อถึงสภาพการศึกษาระดับประถมศึกษาในสมัยเมจิ มีตั้งแต่โต๊ะและเครื่องเขียนที่นักเรียนใช้ รวมถึงตารางวิชาเรียน ตารางเวลาเรียน และตารางเมนูอาหารกลางวันของสมัยนั้นให้ดูด้วย หลังจากสัมผัสเรื่องราวการศึกษาของซามูไรในสมัยเอโดะที่โคโดคัง การได้รู้ถึงเรื่องราวการศึกษาสมัยใหม่ของญี่ปุ่นที่โรงเรียนประถมมิสึไคโดเก่าก็น่าสนุกเช่นกัน

ส่วน “พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ประจำจังหวัดอิบารากิ” จะจัดแสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นตั้งแต่สมัยโจมงให้ชม ที่นี่ยังเป็นสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีชื่อดัง เมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง จะได้เห็นต้นแปะก๊วยที่เรียงรายอยู่ด้านหน้าโรงเรียนประถมมิสึไคโดเก่าเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองงดงาม มีการประดับไฟไลต์อัพในช่วงเวลาจำกัด หากมาเที่ยวในเดือนพฤศจิกายนต้องลองแวะไปชมด้วยนะ

ข้อมูล

พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ประจำจังหวัดอิบารากิ

พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ประจำจังหวัดอิบารากิ

พิพิธภัณฑ์ที่สามารถสัมผัสประวัติศาสตร์ของจังหวัดอิบารากิ และเพลิดเพลินกับความงามของสวนได้ทั้ง 4 ฤดูกาล ก่อตั้งในปี 1974 และยังเป็นหอจดหมายเหตุที่เก็บรวบรวมข้อมูลประวัติศาสตร์ของจังหวัดอิบารากิ ตั้งแต…

ดูบทความเพิ่ม

7. ศาลเจ้าคาชิมะ (The Kashima Jingu Grand Shrine)

ศาลเจ้าคาชิมะในเมืองคาชิมะ (Kashima) เป็นหนึ่งในศาลเจ้าเก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งบูชาทาเคมิคะซุชิโนะโอคามิ เทพเจ้าแห่งศิลปะการต่อสู้และการก่อตั้งประเทศญี่ปุ่น นอกจากจะมีเทพเจ้าประจำศาลเจ้าเป็นเทพเจ้าแห่งศิลปะการต่อสู้แล้ว ในห้องสมบัติ (ปัจจุบันปิดทำการ) ของศาลเจ้ายังมี “โชคุโตะ” ดาบเทพเจ้าที่มีความยาวรวมกว่า 2.7 เมตร ซึ่งสร้างเมื่อ 1300 ปีก่อน และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของชาติ ซึ่งเป็นเครื่องแสดงว่าศาลเจ้าคาชิมะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับศิลปะการต่อสู้ดั้งเดิมของญี่ปุ่น

บริเวณศาลเจ้าคาชิมะกว้างขวาง และมีจุดเที่ยวชมมากมายระหว่างทางเดินไปนมัสการศาลเจ้าตั้งแต่ประตูโรมง (ประตูใหญ่ที่สร้างเหมือนอาคาร 2 ชั้น) ไปจนถึงศาลฮนเด็น (ศาลเจ้าหลัก) มีกวางอยู่ในกรงใกล้กับศาลฮนเด็น กวางถือเป็นผู้ส่งสารของเทพเจ้าจึงมีความสำคัญมาตั้งแต่อดีต ว่ากันว่ากวางที่เห็นในเมืองนาราเป็นลูกหลานของกวางที่ศาลเจ้าคาชิมะมอบให้ศาลเจ้าคาซุกะไทชะ (Kasuga Taisha Shrine)

 

ข้อมูล

ศาลเจ้าคาชิมะ

ศาลเจ้าคาชิมะ

ศาลเจ้าคาชิมะสร้างขึ้นในช่วง 660 ปีก่อนคริสตกาล เป็น 1 ใน 3 ศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดในภูมิภาคคันโต มีเทพเจ้าประจำศาลเจ้าคือ ทาเคมิคะซุชิโนะโอคามิ เทพแห่งการต่อสู้ของนิกายชินโต และได้รับการเคารพสักการะ…

ดูบทความเพิ่ม

ไปเพลิดเพลินกับการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ในจังหวัดอิบารากิกัน

หากได้มาเยือนสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่กระจายอยู่ทั่วจังหวัดอิบารากิ จะสดใสมีชีวิตชีวาและรู้ถึงประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นแจ่มชัดยิ่งขึ้น ตระเวนเที่ยวชมชมสถานที่ต่างๆ ในเมืองมิโตะและเมืองคาชิมะไปเรื่อยๆ สนุกกับการย้อนเวลาไปช่วงเวลาสมัยเอโดะซึ่งเป็นรากฐานของวัฒนธรรมญี่ปุ่นสมัยใหม่กัน