เมืองคาซามะ (Kasama) ในจังหวัดอิบารากิ (Ibaraki) และเมืองมาชิโกะ (Mashiko) ในจังหวัดโทจิกิ (Tochigi) เป็นเมืองเครื่องปั้นดินเผาที่เป็นตัวแทนของประเทศญี่ปุ่น เรียกทั้งสองเมืองนี้รวมกันว่า "คาซามะ ชิโกะ" ซึ่งที่ "คาซามะ ชิโกะ" นี้นอกจากเราจะได้สนุกกับงานเทศกาลต่างๆ เช่น งานตลาดนัดเครื่องปั้นดินเผา (Pottery Market) แล้ว ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย เช่น พิพิธภัณฑ์ศิลปะเซรามิก (Ceramic Art Museum)

คาซามะ ชิโกะ พื้นที่แหล่งผลิตเครื่องปั้นดินเผาของประเทศญี่ปุ่น

 

เมื่อขับรถจากโตเกียวขื้นไปทางเหนือเพียง 1 ชั่วโมงครึ่ง ก็จะพบกับเมืองคาซามะในจังหวัดอิบารากิ ซึ่งขึ้นชื่อเรื่อง “เครื่องปั้นดินเผาคาซามะ (Kasama Yaki)” และเมืองมาชิโกะในจังหวัดโทจิกิที่อยู่ใกล้กันอีกฟากของภูเขา ซึ่งขึ้นชื่อเรื่อง “เครื่องปั้นดินเผามาชิโกะ (Mashiko Yaki)” ทั้ง 2 แห่งเป็นแหล่งผลิตเครื่องปั้นดินเผาเก่าแก่ที่รู้จักกันทั่วญี่ปุ่น ปัจจุบันเรียกรวมกันว่า “คาซามะ ชิโกะ (Kasama Shiko)” และมีการส่งเสริมการขายต่างๆ ทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศด้วย

อย่าพลาดชม “เครื่องปั้นดินเผาคาซามะ” และ “เครื่องปั้นดินเผามาชิโกะ” ศิลปะดั้งเดิมและศิลปะสมัยใหม่ที่น่าหลงใหล ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในการจัดแสดงนิทรรศการตามสถานที่ต่างๆ รวมทั้งการจัดแสดงผลงานของศิลปินรุ่นใหม่ และผลงานซึ่งเป็นสมบัติของชาติในต่างประเทศ

 

ประวัติศาสตร์และไฮไลต์ของคาซามะ ชิโกะ

เป็นที่ทราบกันดีว่า ทั้งเมืองคาซามะและเมืองมาชิโกะ พรั่งพร้อมไปด้วยวัตถุดิบต่างๆ ทั้งดิน น้ำ และเชื้อเพลิง รวมถึงใช้เทคนิคการผลิตเครื่องปั้นดินเผาที่คล้ายกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ เริ่มต้นจากในระหว่างปี 1772 – 1781 ช่างปั้นในเมืองคาซามะได้ศึกษาการปั้นเครื่องปั้นดินเผาชิคาราคิ (Shikaraki Yaki) และนำความรู้มาผลิตเป็น “เครื่องปั้นดินเผาคาซามะ” จากนั้น ผู้ที่ศึกษาวิธีการทำเครื่องปั้นดินเผาในคาซามะก็ได้นำเทคนิคการผลิตกลับไปยังเมืองมาชิโกะ และเริ่มผลิต “เครื่องปั้นดินเผามาชิโกะ” เนื่องจากอยู่ไม่ไกลจากโตเกียวซึ่งเป็นตลาดการค้าขนาดใหญ่ในสมัยเอโดะ ทำให้ทั้งสองเมืองนี้พัฒนาเป็นแหล่งผลิตเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันต่างๆ เช่น กระถาง เหยือกน้ำ หรือกาน้ำ จนกลายเป็นเมืองแห่งเครื่องปั้นดินเผาที่มีชื่อเสียง

เมืองคาซามะได้ดึงดูดช่างปั้นผู้มีความใฝ่ฝันในการผลิตเครื่องปั้นดินเผาให้ย้ายมาอยู่ที่เมืองแห่งนี้เป็นจำนวนมาก ปัจจุบัน มีศิลปินนักปั้นในเมืองคาซามะราว 300 คน และเมืองมาชิโกะราว 250 คน มีทั้งนักปั้นหนุ่มสาวไปจนถึงศิลปินช่างปั้นผู้มีประสบการณ์เชี่ยวชาญ ไม่ได้มีเพียงแค่ศิลปินช่างปั้น แต่ยังมีศิลปินช่างไม้ ช่างเหล็ก ช่างทอ นักออกแบบ แม้กระทั่งผู้ผลิตเกี่ยวกับอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และที่อยู่อาศัย ก็มาอาศัยและสร้างสรรค์งานศิลปะท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามของที่นี่

ในปี 1924 ฮามาดะ โชจิ (ช่างปั้น) ย้ายมาอยู่ที่เมืองมาชิโกะ ได้ร่วมกับยานากิ มุเนโยชิ (นักวิจารณ์ศิลปะ) และคนอื่นๆ ทำการส่งเสริมศิลปะพื้นบ้าน โดยมุ่งเน้น “ความงดงามในการใช้งาน” ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อช่างฝีมือท้องถิ่น ทำให้เครื่องปั้นดินเผามาชิโกะกลายเป็นงานศิลปะในอีกแง่มุมหนึ่ง ในช่วงเวลานี้ เครื่องปั้นดินเผาคาซามะก็เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นในฐานะงานศิลปะญี่ปุ่นที่มีความงดงามแบบญี่ปุ่น

ปัจจุบัน มีผลงานศิลปะหลากหลายชนิดที่ทำขึ้นเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันให้เลือกจับจ่าย โดยทุกปีจะมีนักท่องเที่ยวกว่า 1 แสนคนมาเยี่ยมชมงาน Himatsuri (เทศกาลเครื่องปั้นดินเผา) ของเมืองคาซามะ และงานตลาดนัดเครื่องปั้นดินเผาเมืองมาชิโกะ (Mashiko Pottery Market) ที่มีชีวิตชีวามากๆ โดยงานจัดขึ้นทุกปีเป็นเวลาหลายวัน อย่าพลาดโอกาสอันยอดเยี่ยมในการเลือกซื้อและชื่นชมผลงานศิลปะ รวมถึงพบปะพูดคุยกับศิลปินที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์

สามารถชมผลงานทางศิลปะอันงดงามที่บ่งบอกถึงความเจริญรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมเครื่องปั้นดินเผาได้ที่แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ เช่น วิทยาลัยศิลปะเซรามิกคาซามะ จังหวัดอิบารากิ (Kasama College of Ceramic Art, Ibaraki) ชุนปุบันริโซ (Shunpu Banriso Villa) พิพิธภัณฑ์ศิลปะเซรามิกอิบารากิ (Ibaraki Ceramic Art Museum) ในเมืองคาซามะ และพิพิธภัณฑ์มาชิโกะซังคัง (SHOJI HAMADA Memorial Mashiko Sankokan Museum) สตูดิโอย้อมผ้าครามฮิเกตะ (Higeta Aizome Kobo หรือ Higeta Indigo Dyeing Studio) Higeta Indigo Dyeing Studio) วัดไซเมียวจิ (Saimyoji Temple) ในเมืองมาชิโกะ

มนต์เสน่ห์ของผลงานที่ศิลปินสร้างสรรค์ขึ้นโดยผสมผสานความอบอุ่น ความมีเอกลักษณ์ และคุณภาพ คือเสน่ห์ของเมืองแห่งเครื่องปั้นดินเผาและเมืองแห่งการสร้างสรรค์นี้ อีกทั้งยังเป็นผลมาจากความพยายามที่จะแสวงหาคุณค่าและความงามที่ยั่งยืนด้วย