สวนไคราคุเอน (Kairakuen Garden) เป็น 1 ใน 3 สวนที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น: สถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ซึ่งสามารถดื่มด่ำกับการชมดอกบ๊วย
สวนไคราคุเอนตั้งอยู่ในเมืองมิโตะ (Mito) จังหวัดอิบารากิ (Ibaraki) เป็น 1 ใน "3 สวนที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น" โดยอีก 2 แห่งคือสวนเคนโระคุเอนที่จังหวัดคานาซาวะ และสวนโคราคุเอนที่จังหวัดโอคายามะ ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิต้นบ๊วย 3,000 ต้นในสวนจะบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมสดชื่น บทความนี้ขอแนะนำสวนไคราคุเอน รวมทั้งความเป็นมา อาคารประวัติศาสตร์ จุดเด่นทางวัฒนธรรม เส้นทางเดินเล่นในสวน และสถานที่ท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องอย่างโคโดคังและปราสาทมิโตะ
เทศกาลดอกบ๊วยที่สวนไคราคุเอนกับความงามตามฤดูกาล
Picture courtesy of Kairakuen Garden
สวนไคราคุเอนมีชื่อเสียงเรื่องดอกบ๊วย ต้นบ๊วยราว 3,000 ต้น 100 สายพันธุ์จะผลิบานในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ถึงปลายเดือนมีนาคมของทุกปี เวลาออกดอกนั้นจะแตกต่างกันในแต่ละสายพันธุ์ มีทั้งดอกที่บานเร็ว, บานกลาง และบานช้า ดังนั้นจึงสามารถเพลิดเพลินความกับงามของดอกบ๊วยได้นานกว่า 1 เดือน
6 ต้นบ๊วยสายพันธุ์ชื่อดังของมิโตะ Picture courtesy of Kairakuen Garden
ในบรรดาต้นบ๊วยหลากสายพันธุ์ของสวนแห่งนี้ มี Mito no Rokuki (6 ต้นบ๊วยสายพันธุ์ชื่อดังของมิโตะ) 6 ต้นบ๊วยล้ำค่าที่ล้อมรั้วไม้ไผ่ไว้ ขึ้นชื่อเรื่องรูปร่าง กลิ่นหอม และสีสันของดอกบ๊วย
Picture courtesy of Kairakuen Garden
เทศกาลดอกบ๊วย (Mito no Ume Matsuri หรือ Mito Plum Blossom Festival) ที่มีประวัติยาวนานกว่า 120 ปี จะจัดขึ้นในฤดูดอกบ๊วยบาน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วญี่ปุ่นว่า เป็นเทศกาลต้นฤดูใบไม้ผลิ โดยจะมีการจัดกิจกรรมต่างๆ ที่สวนไคราคุเอนและโคโดคังเป็นหลัก มีทั้งการประดับไฟไลท์อัพยามค่ำคืน การแสดงดอกไม้ไฟ พิธีชงชา การชิมเหล้าบ๊วย และการแสดงศิลปะการต่อสู้ สามารถเพลิดเพลินกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นดั้งเดิมพร้อมกับชมดอกบ๊วยไปด้วย
Picture courtesy of Kairakuen Garden
สวนไคราคุเอนไม่ได้มีแค่ดอกบ๊วย แต่ยังมีป่าไผ่เขียวขจีแผ่กิ่งก้านตลอดทั้งปี สามารถเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ที่แตกต่างกันในแต่ละฤดูกาล เช่น ดอกซากุระในฤดูใบไม้ผลิ ดอกคิริชิมะสึสึจิ (ดอกอาซาเลียพันธุ์หนึ่ง) สีแดงสดในช่วงต้นฤดูร้อน รวมทั้งดอกฮากิและใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วงด้วย
ข้อมูล
เทศกาลชมดอกบ๊วยเมืองมิโตะ
เทศกาลชมดอกบ๊วยเมืองมิโตะเริ่มขึ้นในปี ค.ศ.1896 (ปีเมจิ 29) เมื่อทางรถไฟสายมิโตะ-อุเอโนะ เปิดให้บริการ และการนั่งรถไฟชมดอกบ๊วยก็เริ่มให้บริการ โดยจะมีการจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ในช่วงที่ดอกบ๊วยบานสะพร…
ดูบทความเพิ่มสำรวจความเป็นมาและประวัติศาสตร์ของสวนไคราคุเอน
Picture courtesy of Kairakuen Garden
สวนไคราคุเอนซึ่งเป็น 1 ใน “3 สวนที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น” เป็นสวนที่ผสานความงามตามธรรมชาติกับความงามแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นไว้ด้วยกัน ไม่ว่ามาเที่ยวฤดูไหนก็สามารถเพลิดเพลินกับทริปเที่ยวที่ช่วยเยียวยาจิตใจ ด้วยกลิ่นอายของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
สวนไคราคุเอนสร้างขึ้นเมื่อปี 1842 ตามคำสั่งของโทคุกาวะ นาริอากิ ผู้ปกครองลำดับที่ 9 ของแคว้นมิโตะ (แคว้นที่ปกครองพื้นที่ตอนกลางและตอนเหนือของจังหวัดอิบารากิในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นแคว้นในสมัยเอโดะ (ปี 1603 – 1868)
เพื่อเสริมสร้างผู้มีความสามารถที่ยอดเยี่ยม โทคุกาวะ นาริอากิจึงได้ก่อตั้ง “โคโดคัง” (จะแนะนำในภายหลัง) โรงเรียนของแคว้นเมื่อปี 1841 ไว้ให้ลูกหลานขุนนางได้มาศึกษาวิชาการและศิลปะการต่อสู้
พร้อมกันนั้น ก็ได้สร้างสวนไคราคุเอนเพื่อให้เป็นสถานที่พักผ่อนระหว่างศึกษาเล่าเรียนด้วย ตามแนวคิดของขงจื่อหรือขงจื๊อ (นักคิดผู้ก่อตั้งลัทธิขงจื๊อที่แพร่หลายในช่วงศตวรรษที่ 6-5 ก่อนคริสต์ศักราช) ที่ว่า “อิจโจอิชชิ” (การเรียนรู้นั้นสำคัญ แต่การพักผ่อนอย่างเหมาะสมก็จำเป็นเช่นกัน) และ “หยินหยาง ศาสตร์แห่งความสมดุลของวิถีแห่งบุ๋นและบู้” (หมายถึง การให้ความสำคัญกับสมดุลของปัญญาและทักษะการต่อสู้)
โทคุกาวะ นาริอากิตั้งชื่อสวนแห่งนี้ว่า ไคราคุเอน (偕楽園) โดยมุ่งหวังว่า สวน (園 เอน) แห่งนี้จะมอบความสงบสุขแก่ขุนนางและผู้คนในแคว้น และเป็นสถานที่ให้พวกเขาได้เพลิดเพลิน (楽 ราคุ) ไปด้วยกัน (偕 ไค)
Picture courtesy of Kairakuen Garden
ดอกบ๊วยเป็นดอกไม้ที่มีเสน่ห์ที่สุดในสวนแห่งนี้ ดอกบ๊วยสีขาวบริสุทธิ์และสง่างามจะเริ่มผลิบานในต้นฤดูใบไม้ผลิ อีกทั้งลูกบ๊วยยังเป็นอาหารที่เก็บไว้เป็นเสบียงได้ ดังนั้น โทคุกาวะ นาริอากิจึงชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งสนับสนุนให้ทำการเพาะปลูกด้วย
Picture courtesy of Kairakuen Garden
ข้อมูล
สวนไคราคุเอน (Kairakuen Garden)
สวนไคราคุเอนเป็น "1 ใน 3 สวนที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น" ซึ่งอีก 2 แห่งคือสวนเคนโระคุเอนที่จังหวัดคานาซาวะ และสวนโคราคุเอนที่จังหวัดโอคายามะ สวนแห่งนี้เปิดให้ประชาชนมาพักผ่อนหย่อนใจเมื่อปี 1842 โดยนาริอาคิ…
ดูบทความเพิ่มโคบุนเท (Kobuntei) พื้นที่ประวัติศาสตร์ที่ผสานอารยธรรม วัฒนธรรม และทิวทัศน์อันงดงามไว้ด้วยกัน
ภายในสวนมี “โคบุนเท” บ้านพักของโทคุกาวะ นาริอากิที่สร้างขึ้นพร้อมกัน โคบุนเทตั้งอยู่ระหว่างป่าไผ่กับสวนบ๊วยในสวนไคราคุเอน ชื่อโคบุนเทนี้มาจาก “โคบุนโบกุ (ต้นไม้รักการเรียนรู้)” ซึ่งเป็นสมญานามหนึ่งของต้นบ๊วย ว่ากันว่ามีเรื่องเล่าของจักรพรรดิจิ้นหวู่ตี้แห่งราชวงศ์จิ้นของประเทศจีน (เป็นราชวงศ์จีนโบราณในช่วงศตวรรษที่ 3 – 5) ที่ว่า ยามพระองค์ร่ายบทกวี (ศึกษาเล่าเรียน) ดอกบ๊วยจะผลิบาน หากยามที่ทรงเกียจคร้าน ดอกบ๊วยจะเหี่ยวเฉา
โทคุกาวะ นาริอากิได้เชิญข้าราชบริพาร ปัญญาชน และสามัญชนมาที่โคบุนเท เพื่อเพลิดเพลินกับงานเลี้ยงร่ายบทกวีและอื่นๆ โคบุนเทตั้งอยู่ในทำเลเยี่ยมที่สามารถชมทิวทัศน์อันงดงามได้อย่างชัดเจน ประกอบด้วยอาคารหลัก 3 ชั้นและโอคุโกเท็น (Okugoten ที่พักส่วนตัว) อาคารชั้นเดียว ว่ากันว่า โทคุกาวะ นาริอากิเป็นผู้กำกับดูแลการออกแบบที่สร้างสรรค์โดยละเอียดนี้ดัวยตัวเอง
จากทางเข้าให้เดินไปตามเส้นทางชมวิวจะไปถึงโอคุโกเท็นซึ่งเป็นอาคารชั้นเดียว
โอคุโกเท็นมีห้องต่างๆ มากกว่า 10 ห้อง ซึ่งมเหสีและนางสนองพระโอษฐ์ใช้พักผ่อน ภายในแต่ละห้องมีภาพวาดลวดลายประณีตที่เข้ากับชื่อของแต่ละห้อง
ราคุจูโร (Rakujuro) อยู่บนชั้น 3 ในอาคาร 3 ชั้น ที่นี่เป็นห้องที่โทคุกาวะ นาริอากิใช้พักผ่อน สามารถชมทิวทัศน์ได้ 3 ด้าน ทั้งทิศตะวันออก ทิศตะวันตก และทิศใต้
ทิวทัศน์งดงามของสวนบ๊วย พื้นที่เขียวขจี และทะเลสาบเซ็นบะแผ่กว้างอยู่เบื้องล่าง ว่ากันว่าโทคุกาวะ นาริอากิจะใช้เวลาครุ่นคิดไตร่ตรองสิ่งต่างๆ ขณะที่ชมทิวทัศน์ในห้องนี้
โคบุนเทได้ถูกเพลิงไหม้เสียหายทั้งหมดในสงครามเมื่อปี 1945 โคบุนเทในปัจจุบันได้รับการบูรณะใหม่ตั้งแต่ปี 1955 ใช้เวลาราว 3 ปี
คาเฟ่ราคุ (Cafe Raku)
ภายในโคบุนเทมีคาเฟ่ราคุที่สามารถเพลิดเพลินกับขนมหวานแสนอร่อยพร้อมชมวิวสวนได้
ขนมหวานขึ้นชื่อคาเฟ่ราคุคือทีรามิสุที่เสิร์ฟมาในมาซุ (กล่องสาเกทรงสี่เหลื่อม) ที่ทำจากไม้ โดยเฉพาะทีรามิสุรสบ๊วยหน้าตาสุดน่ารัก ซึ่งจะได้ดื่มด่ำกับรสชาติเข้มข้นของมาสคาโปนชีส โดยมีเจลลี่แสนสดชื่นที่จะช่วยดึงรสชาติให้โดดเด่น และเพิ่มสัมผัสความอร่อยด้วยเนื้อลูกบ๊วยรสหวานอมเปรี้ยว ทีรามิสุนี้มีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ ดังนั้นต้องแวะไปลองชิมและค้นหาความลับนี้ด้วยตัวเอง นอกจากนี้ ยังมีทีรามิสุรสชาติตามฤดูกาลอื่นๆ ให้เลือกลิ้มลองกันด้วย
ชาดอกบ๊วยเป็นเครื่องดื่มแนะนำ ชาสมุนไพรบริสุทธิ์ที่มีดอกบ๊วยตูมเล็กๆ น่ารักๆ ลอยอยู่ในน้ำชาร้อนๆ เมื่อจิบ กลิ่นชาจะหอมอบอวลแตะจมูก ช่วยให้จิตใจสงบ
เดินเล่นในสวนไคราคุเอน: จากโลกแห่งหยิน (เงา) สู่โลกแห่งหยาง (แสง)
เส้นทางที่แนะนำสำหรับการเดินเล่นรอบๆ สวนไคราคุเอนคือจากประตูหน้า (Omotemon) ผ่านป่าไผ่และป่าสน (โลกแห่งหยิน) ไปยังสวนบ๊วย (โลกแห่งหยาง)
การออกแบบด้วยแนวคิดสมดุลแห่งหยิน-หยาง ซึ่งมาจากแนวคิดเรื่องความกลมกลืนระหว่างหยินและหยางซึ่งโทคุกาวะ นาริอากิให้ความสำคัญ คือเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของสวนไคราคุเอนแห่งนี้
เมื่อเข้าประตูหน้า จะเจอป่าไผ่โมโซ (Moso Bamboo Forest) ที่มีต้นไผ่กว่า 1,000 ต้นปกคลุมท้องฟ้า ทำให้บรรยากาศเงียบสงบ ล้อมรอบด้วยต้นสนที่ปลูกอยู่บริเวณรอบๆ
บนที่ราบต่ำ ถัดจากป่าไผ่ มีโทเกียวคุเซ็น (Togyokusen) น้ำพุที่โอบล้อมด้วยต้นสนใหญ่ มีน้ำใสและเย็นผุดขึ้นมาเสมอแม้ในฤดูร้อน และไม่เคยเหือดแห้งนับตั้งแต่ก่อสร้างเสร็จ ว่ากันว่า น้ำพุธรรมชาตินี้มีสรรพคุณช่วยเยียวยาโรคเกี่ยวกับตาได้ อีกทั้งก่อนหน้านี้ยังเคยใช้เป็นน้ำในห้องชงชาของโคบุนเทด้วย บ่อน้ำพุทำจากคันซุยเซกิ (หินอ่อนชนิดหนึ่ง) ซึ่งเป็นหินของอิบารากิ ปัจจุบัน บ่อน้ำพุนี้ทำจากหินก้อนที่ 4 แล้ว เนื่องจากของเดิมถูกน้ำพุกัดเซาะจนผุกร่อน
เมื่อเดินผ่านป่าไผ่และป่าสน ไปถึงประตูกลาง (Kobuntei Nakamon) ของโคบุนเท ก็จะเห็นโคบุนเท
โคบุนเทตั้งอยู่บนพื้นที่ระหว่างโลกแห่งหยินกับหยาง โดยสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ชมทิวทัศน์ได้ทั้งสวนบ๊วยและทะเลสานเซนบะ
Picture courtesy of Kairakuen Garden
เมื่อออกจากโคบุนเท เดินผ่านประตูชิบาซากิมง (Shibasakimon) จะเข้าสู่โลกแห่งหยาง ซึ่งเป็นสวนบ๊วยที่มีแสงแดดสาดส่องจากท้องฟ้ากว้างใหญ่ นอกจากสวนบ๊วยที่กว้างขวาง ในสวนไคราคุเอนแห่งนี้ยังมีสนามหญ้าที่เปิดโล่งมองเห็นวิวทะเลสาบเซนบะอันงดงามอีกด้วย
สถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับแคว้นมิโตะในละแวกสวนไคราคุเอน
นอกจากสวนไคราคุเอน เมืองมิโตะยังเต็มไปด้วยสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของแคว้นมิโตะ ซึ่งช่วยให้เรียนรู้วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ท้องถิ่นได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
โคโดคัง (Kodokan Mito Han School)
Picture courtesy of Kodokan
โคโดคังเป็นโรงเรียนของแคว้นที่โทคุกาวะ นาริอากิก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1841 พร้อมกับสวนไคราคุเอนซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนร่างกายและจิตใจ
ในสมัยนั้น ที่นี่ถือเป็นโรงเรียนของแคว้นที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ลูกหลานขุนนางจะเข้าเรียนได้เมื่ออายุ 15 ปี เพื่อเรียนรู้ฝึกฝนด้านวิชาการและศิลปะการต่อสู้ คล้ายกับมหาวิทยาลับที่ประกอบด้วยคณะต่างๆ รวมถึงสถาบันวิจัยเช่นในปัจจุบัน ที่นี่เป็นเป็นสถานที่ฝึกฝนและบ่มเพาะผู้มีความสามารถที่ยอดเยี่ยมในหลากหลายสาขา
ตระกูลมิโตะโทคุกาวะ (ตระกูลโทคุกาวะสายมิโตะ) ทุ่มเทในเรื่องการศึกษาและรวบรวมประวัติศาสตร์มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 โดยเฉพาะโทคุกาวะ นาริอากิได้พัฒนาการศึกษา วิทยาศาสตร์ และแนวคิดทางการเมืองขึ้นอย่างมาก โคโดคังจึงเป็นแหล่งรวมความรู้ และจิตวิญญาณรากฐานของโรงเรียนก็เป็นที่รู้จักกันทั่วญี่ปุ่น
ประตูหลักของโคโดคัง, เซโจ (สถานที่จัดงานพิธีและการทดสอบต่างๆ ที่เจ้าผู้ครองแคว้นเข้าร่วม) และชิเซนโด (ห้องอ่านหนังสือและพักผ่อนของเจ้าผู้ครองแคว้น) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกชาติด้านวัฒนธรรมที่สำคัญของญี่ปุ่น ในบริเวณนี้มีต้นบ๊วยราว 800 ต้น 60 สายพันธุ์ ทำให้ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ชมดอกบ๊วยชื่อดัง
ข้อมูล
โคโดคัง (Kodokan Mito Han School)
โคโดคังเป็นโรงเรียนสำหรับไดเมียว (ขุนนาง) ที่สร้างขึ้นเมื่อปี 1841 (ปีเทนโปที่ 12) โดยโทคุกาวะ นาริอาคิ เจ้าครองแคว้นลำดับที่ 9 ในนามตระกูลมิโตะ โรงเรียนแห่งนี้มีพื้นที่ขนาด 17.8 เฮกเตอร์ ซึ่งเป็นบ…
ดูบทความเพิ่ม
ปราสาทมิโตะ (Mito Castle)
Picture courtesy of Mito City
ปราสาทมิโตะเป็นปราสาทฮิรายามะ (ปราสาทบนที่ราบเนินเขา) และเป็นหนึ่งในปราสาทดินที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ว่ากันว่าสร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 12 ถึงต้นศตวรรษที่ 13 โดยตระกูลมิโตะโทคุกาวะใช้เป็นที่พักอาศัยของมาตั้งแต่ปี 1609
ภายในปราสาท มีการสร้างเท็นชุ (ป้อมปราสาท) โกะเต็น (พระราชวัง) และมิโตะโชโคคัง (Mito Shokokan) ซึ่งเป็นหน่วยงานรวบรวมและจัดทำไดนิฮอนชิ (หนังสือประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น) ตามคำสั่งของโทคุกาวะ มิตสึคุนิ ผู้ครองแคว้นลำดับที่ 2 งานรวบรวมไดนิฮอนชินี้มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมวิชาความรู้และการศึกษาไม่เพียงแค่ในแคว้นมิโตะเท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลต่อญี่ปุ่นยุคใหม่ด้วย
ตัวอาคารส่วนใหญ่ของปราสาทมิโตะถูกทำลายในสงคราม แต่โครงสร้างต่างๆ อย่างสันดินและคูน้ำยังคงอยู่ในสภาพดี นอกจากนี้ อาคารบางส่วนอย่างประตูโอเทมง (Otemon) ได้รับการบูรณะตามเอกสารข้อมูลทางประวัติศาสตร์
ข้อมูล
ซากปราสาทมิโตะ (Mito Castle Ruins)
ปราสาทมิโตะคือหนึ่งในปราสาทดินที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น สร้างขึ้นระหว่างปลายศตวรรษที่ 12 ถึงต้นศตวรรษที่ 13 หลังจากเปลี่ยนผู้ปกครองดินแดนนี้หลายครั้ง ในปี 1609 เมื่อโยริฟุซะ โทคุกาวะถูกส่งตัวมาอยู่ที่ม…
ดูบทความเพิ่ม
ทะเลสาบเซนบะ (Lake Senba)
Picture courtesy of Mito City
ทะเลสาบเซนบะตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของสวนไคราคุเอน เคยใช้เป็นทางเข้าสวนโดยทางเรือ เดิมทีเป็นหนองน้ำตื้น แต่ได้รับการปรับปรุงให้เป็นคูเมืองรอบปราสาทมิโตะในช่วงต้นสมัยเอโดะ (ปี 1603 – 1868)
ปัจจุบัน ที่นี่เป็นสถานที่พักผ่อนของชาวเมืองมิโตะ มีต้นซากุระราว 700 ต้นเรียงรายริมทะเลสาบ สามารถเพลิดเพลินกับการชมดอกซากุระในฤดูใบไม้ผลิ
Picture courtesy of Mito City
ทุกเดือนสิงหาคมที่ทะเลสาบเซนบะจะมีการจัดเทศกาลมิโตะโคมง & เทศกาลดอกไม้ไฟ (Mito Komon Festival & Fireworks Festival) ดอกไม้ไฟ 5,000 ลูกจะแต่งแต้มสีสันให้กับท้องฟ้ายามค่ำคืน ดอกไม้ไฟที่สะท้อนความงดงามบนทะเลสาบ ทำให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากหลงใหลและเดินทางมาเยือนกันทุกปี
ข้อมูล
ทะเลสาบเซนบะ (Lake Senba)
ทะเลสาบมีเส้นรอบวงราว 3 กิโลเมตร เป็นสถานที่ซึ่งชาวเมืองมิโตะมาพักผ่อนและวิ่งออกกำลังกายกัน นอกจากนี้ที่นี่จะเป็นที่อาศัยของนกจำนวนมากแล้ว ยังเป็นสถานที่ชมดอกซากุระยอดฮิตของอิบารากิ ช่วงกลางวันถนนร…
ดูบทความเพิ่ม